จัดฟันเซรามิก คืออะไร พร้อมข้อดี-ข้อเสียของการจัดฟันแบบนี้

จัดฟันเซรามิก คือ การจัดฟันด้วยเครื่องมือแบรคเก็ตที่ทำมาจากวัสดุเซรามิก ซึ่งมีสีใส มีความโดดเด่นที่ความสวยงามและภาพลักษณ์ เหมาะสำหรับเด็ก วัยรุ่น หรือ ผู้หใญ่ที่ต้องการผลลัพธ์การจัดฟันเช่นเดียวกับการจัดฟันแบบเหล็กเพราะใช้หลักการเดียวกัน แต่คำนึงถึงความสวยงามเป็นหลัก โดยการจัดฟันแบบนี้ ใช้ในการแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันที่ผิดปกติ เช่น ฟันเก ฟันเหยิน ฟันซ้อน เป็นต้น

แบบการจัดฟัน

การจัดฟันเซรามิกนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ดังนี้:

  1. จัดฟันด้วยเซรามิกแบบใส (Clear ceramic braces): เป็นการจัดฟันแบบเซรามิกที่มีสีใส มองทะลุเห็นตัวฟัน
  2. จัดฟันด้วยเซรามิกสีเดียวกับฟัน (Tooth-colored ceramic braces): เป็นการใช้แบร็กเก็ตสีเดียวกับเนื้อฟัน ทำให้ดูเป็นธรรมชาติและเข้ากับผิวฟันโดยรอบ
  3. การจัดฟันแบบไร้ยาง (Self ligating braces): หลักการทำงานเหมือนกับการจัดฟันเซรามิกทั่วไป แต่แทนที่จะใช้ยางรัด การจัดฟันแบบนี้จะใช้ตัวยึดแบบพิเศษแทนเพื่อขึงตัวลวดไว้ โดยวิธีนี้จะช่วยลดการเสียดสีที่จะเกิดขึ้นระหว่างตัวเครื่องมือและผิวแก้มหรือเหงือก

ข้อดี

  • โดดเด่นด้วยความสวยงาม: การจัดฟันเซรามิกนั้นใช้หลักการเดียวกันกับจัดฟันโลหะ แต่มีข้อแตกต่างหลักอยู่ที่ความสวยงาม ดูเป็นธรรมชาติมากขั้น
  • มีความยืดหยุ่น: มีความยืดหยุ่นสูง สามารดใช้รักษาปัญหาทางทันตกรรมได้หลายรูปแบบ
  • ราคาย่อมเยา: ถึงแม้ว่าจะมีราคาที่สูงกว่าการจัดฟันแบบเหล็ก การจัดฟันด้วยเซรามิกยังมีราคาย่อมเยากว่าแบบอื่นๆ เช่น แบบใส หรือ ดามอน
  • สวมใส่สบายมากขึ้น: เมื่อเทียบกับการจัดฟันโลหะ การจัดฟันแบบนี้จะมีความเบาและสบายช่องปากมากขึ้น

ข้อเสีย

  • แตกหักง่าย: วัสดุเซรามิกจะมีความเปราะบางและแตกหักง่ายกว่าเหล็ก ซึ่งต้องมีการซ่อมแซมเป็นระยะๆ
  • เป็นคราบได้ง่าย: แม้ว่าตัวแบร็กเก็ตจะค่อนข้างทนทานต่อการเกิดคราบ ตัวยางที่ใช้รัดสามารถเปลี่ยนสีได้ง่ายจาการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม
  • ต้องจำกัดการกิน: คนไข้ต้องพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีความเหนียว แข็ง หรืออาหารที่ต้องใช้ฟันบดเคี้ยวเยอะ เพราะจะทำให้เครื่องมือได้รับความเสียหายหรือไปรบกวนการเคลื่อนตัวของฟันได้
  • อาจใช้เวลาในการรักษาที่นานขึ้นในบางกรณี: เพราะแพทย์ไม่สามารถใช้แรงในการจัดฟันได้มาก เพื่อป้องกันการแตกหักของตัววัสดุ

ขั้นตอนการจัดฟัน

  1. ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อเช็คดูอาการ ตรวจวินิจฉัยโครงสร้างฟัน พร้อมทำประวัติก่อนการจัดฟัน เช่น การพิมพ์ฟัน การถ่ายภาพ การ x-ray รวมไปถึงวางแผนการรักษา
  2. ทำการเคลียร์ช่องปาก เช่น อุดฟัน ขูดหินปูน ผ่าฟันคุด เป็นต้น พร้อมเลือกแบบการจัดฟันเซรามิก เช่น แบบใส 
  3. นัดหมายติดเครื่องมือจัดฟัน โดยจะเริ่มจากการเตรียมพื้นผิวของฟัน ตามด้วยติดแบร็กเก็ตจัดฟันตามแบบที่คนไข้เลือก หลังจากนั้นทำการใส่ลวดยึดเพื่อขึงตัวเครื่องมือเข้าด้วยกัน
  4. เมื่อติดเครื่องจัดฟันเสร็จแล้ว ทันตแพทย์จะทำการนัดทุก 4-6 อาทิตย์ เพื่อเข้ามาทำการปรับลวดและตำแหน่งเครื่องมือจัดฟันให้เป็นไปตามแผนการ
  5. หลังจากจัดฟันเซรามิกครบตามกำหนดแล้ว แพทย์จะถอดเครื่องมือจัดฟัน แล้วจะพิมพ์ฟันทำรีเทนเนอร์ ซึ่งมีหลากหลายแบบ ได้แก่ รีเทนเนอร์แบบใส รีเทนเนอร์แบบลวด รีเทนเนอร์แบบติดแน่น และรีเทนเนอร์แบบโลหะ เพื่อใช้คงสภาพฟัน ซึ่งควรใส่ตามที่ทันตแพทย์แนะนำ เพื่อไม่ให้ฟันเคลื่อนกลับไปตำแหน่งเดิม 

ราคาและระยะเวลาการจัดฟัน

จัดฟันโลหะจะมีราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 45,000-59,000 บาท และจะมีระยะเวลาในการรักษาประมาณ 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละเคส และอาจจะนานกว่าในบางกรณี  ถ้าแพทย์ใช้ความระมัดระวังในการค่อยๆ ปรับเครื่องมือ ซึ่งในปัจจุบัน คลินิกและโรงพยาบาลส่วนใหญ่มีแผนการผ่อนชำระรายเดือน ทำให้คนไข้ไม่จำเป็นต้องชำระเงินค่ารักษาเต็มจำนวน

ข้อควรปฏิบัติในช่วงจัดฟัน

ระหว่างการจัดฟัน ขั้นตอนการดูแลตัวเองคร่าวๆ มีดังนี้:

  • ดูแลความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอ เช่น แปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ โดยใช้แรปงสีฟันขนอ่อน และ ใช้ใไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจทำให้วัสดุเซรามิกได้รับความเสียหายได้
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีความเหนียว แข็ง รวมไปถึงอาหารที่มีรสหวานหรือเปรี้ยวสูง เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม เป็นต้น เพราะอาหารเหล่านี้อาจไปรบกวนการเคลื่อนที่ของตัวฟันหรือสร้างความเสียหายให้กับเครื่องมือจัดฟันได้
  • พยายามหลีกเหลี่ยงการกระทบกระแทกกับตัวแบร็คเก็ตจัดฟัน เช่น การกัดเล็บ การกัดของแข็ง และหากจะต้องลงเล่นกีฬาที่อาจได้รับการกระทบกระเทือน ก็ควรที่จะใส่ยางกันฟัน
  • ไปพบทันตแพทย์ตามนัดทุกครั้ง

วิธีการดูและตัวเองหลังจัดฟันเสร็จ

หลังจัดฟันโลหะเสร็จ ขั้นตอนการดูแลตัวเองคร่าวๆ มีดังนี้:

  • ขยันใส่รีเทนเนอร์ตามที่ทันตแพทย์สั่งในช่วง 1-2 ปีแรกหลังจัดฟัน เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวกลับของฟันหรือที่เรียกว่าฟันล้ม
  • หมั่นดูแลรักษาความสะอาดของฟัน เช่น แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และ ใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
  • พยายามเลี่ยงการรับประทานอาหารเหนียวหรือแข็งในช่วงแรกๆ หลังจัดฟันเสร็จ เพื่อให้ฟันเข้าที่สมบูรณ์ก่อน
  • ไปพบทันตแพทย์ตามนัดเพื่อเช็คดูการเคลื่อนตัวของฟันและทำการแก้ไขแต่เนิ่นๆ หากไม่เป็นไปตามแผนการรักษา