จัดฟันรอบสอง ต้องรู้อะไรบ้างก่อนการจัดฟัน
การจัดฟันรอบสองเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ใช้เก็บรายละเอียดหรือแก้ไขปัญหาเพิ่มเติมหลังจากจัดฟันครั้งแรกเสร็จ ซึ่งจะมีระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษาที่น้อยลง โดยส่วนมากจะทำการเริ่มจัดฟันครั้งที่สองประมาณ 1-2 ปี และอาจมีการจัดฟันรอบสามร่วมด้วย หากไม่เป็นไปตามแผนการรักษา
เหตุผล
5 เหตุผลหลักๆ ว่าทำไมต้องมีการจัดฟันรอบสอง ได้แก่:
- ฟันมีการเคลื่อนตำแหน่ง: เมื่อเวลาผ่านไป ฟันของคนไข้อาจมีการเคลื่อนตำแหน่งตามอายุที่เปลี่ยนไปได้ ทำให้ต้องมีการจัดฟันอีกรอบเพื่อแก้ไขปรับตำแหน่งฟันให้เข้าที่
- ไม่ใส่รีเทนเนอร์: เหตุผลต้นๆ ที่ต้องจัดฟันรอบ 2 มาจากการที่คนไข้ไม่ใส่รีเทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอหลังจากจัดฟันรอบแรกเสร็จตามคำแนะนำของแพทย์ ทำให้ฟันเคลื่อนที่กลับไปยังตำแหน่งเดิมหรือที่เรียกว่าฟันล้ม
- กระดูกขากรรไกรที่เปลี่ยนไป: ในบางกรณี กระดูกขากรรไกรของคนไข้อาจมีการเปลี่ยนไปอันเนื่องมาจากการเจริญเติบโตของกระดูก ทำให้โครงสร้างหน้าและการสบฟันต่างไป จึงต้องอาจมีการผ่าตัดขากรรไกรร่วมด้วยพร้อมกับการจัดฟันอีกรอบเพิ่อแก้ไขปัญหา
- ฟันได้รับอุบัติเหตุ: หากมีการสูญเสียฟัน หรือกรามไม่ก็ฟันได้รับบาดเจ็บจนทำให้การสบฟันเปลี่ยนไป อาจจะต้องมีการจัดฟันอีกรอบเพื่อทำการแก้ไข
- เพื่อความสวยงาม: หากการจัดฟันรอบแรกไม่เป็นไปตามเป้าหมายในด้านภาพลักษณ์ การจัดฟันรอบสองก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สามารถปรับให้ดูสวยงามได้
ข้อดี
- ช่วยแก้ไขปัญหาการเรียงตัวและการสบฟันให้เป็นธรรมชาติและถูกต้องมากขึ้น
- ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตนเอง ในกรณีที่การจัดฟันครั้งแรกไปเป็นไปตามเป้าหมาย
- ช่วยเพิ่ประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหารและการออกเสียงบางคำให้ชัดเจนมากขึ้น
- ช่วยปรับรูปร่างใบหน้าให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- ช่วยแก้ไขปัญหาทางทันตกรรมบางอย่างที่เกิดจากอุบัติเหตุ
4 ชนิดของการจัดฟัน
เช่นเดียวกับการจัดฟันครั้งแรกนั้น จะมีชนิดการรักษาให้เลือกทั้งหมด 4 แบบ ดังนี้:
- จัดฟันโลหะ: หรือที่เรียกว่าการจัดฟันแบบเหล็ก เป็นการติดเครื่องมือโลหะประเภทยึดติดแน่นกับฟันเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเรียงตัวของฟันไม่เหมาะสม
- จัดฟันเซรามิก: คือ การจัดฟันด้วยเครื่องมือแบรคเก็ตที่ทำมาจากวัสดุเซรามิก ซึ่งมีสีใส มีความโดดเด่นที่ความสวยงามและภาพลักษณ์
- จัดฟันดามอน: เป็นการการจัดฟันแบบไร้ยาง (Self ligating braces) ที่ใช้ตัวยึดแบบพิเศษแทนเพื่อขึงตัวลวดเครื่องมือไว้ แทนที่จะใช้ยางรัดเหมือนการจัดฟันโลหะแบบดั้งเดิม
- จัดฟันใส: ตัวที่เป็นที่นิยมที่สุด คือ Invisalign ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการจัดฟันแบบใหม่ที่ใช้เครื่องมือแบบใสซึ่งออกแบบมาพิเศษตามรูปฟันของคนไข้ด้วยคอมพิวเตอร์แสกนระบบ 3 มิติ (3D) ในห้องแล็บที่อเมริกา เหมาะสำหรับในกรณีเคสที่ไม่มีความซับซ้อนมาก
โดยในระหว่างการพบแพทย์เบื้องต้น แพทย์จะเป็นผู้แนะนำร่วมกับคนไข้เพื่อตัดสินใจว่าการจัดฟันชนิดไหนเหมาะสมที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่นั้น การจัดฟันด้วย Invisalign จะเป็นตัวเลือกหลักที่จะใช้ เพราะเหมาะสำหรับการจัดฟันรอบสองที่ไม่จำเป็นต้องแก้ไขอะไรมาก
ขั้นตอนการจัดฟัน
- เบื้อต้น ทันตแพทย์จะทำการประเมิณเช็คสภาพฟัน กระดูกและรากฟันว่ายังสามารถจัดได้หรือไม่ รวมไปถึงวางแผนการรักษา ทำการตรวจวินิจฉัยโครงสร้างฟัน พิมพ์ฟัน ถ่ายภาพ x-ray และทำการเคลียร์ช่องปาก เช่น อุดฟัน ขูดหินปูน ผ่าฟันคุด เป็นต้น
- เมื่อถึงวันนัด แพทย์จะทำการติดตั้งเครื่องมือจัดฟัน ซึ่งหากเป็นแบบลวดหรือแบร็กเก็ตจัดฟัน เช่น แบบโลหะ แบบเซรามิก หรือ ดามอน แพทย์จะทำการติดเครื่องมือเข้ากับฟันด้วยวัสุดยึดเกาะพิเศษ หากเป็นการจัดฟันใส เช่นด้วย Invisalign แพทย์จะทำการส่งข้อมูลฟันไปยังห้องแล็บเพื่อทำการพิมพ์เครื่องมือต่อไป
- เมื่อติดเครื่องจัดฟันเสร็จแล้ว ทันตแพทย์จะทำการนัดทุก 4-8 อาทิตย์ เพื่อเข้ามาทำการปรับลวดและตำแหน่งเครื่องมือจัดฟันให้เป็นไปตามแผนการ รวมไปถึงเปลี่ยนและซ่อมแซมเครื่องมือจัดฟัน
- หลังจากจัดฟันฟันครบตามกำหนดแล้ว (ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 6-18 เดือน) ทันตแพทย์จะพิมพ์ฟันทำรีเทนเนอร์ ซึ่งมีหลากหลายแบบ ได้แก่ รีเทนเนอร์แบบใส รีเทนเนอร์แบบลวด รีเทนเนอร์แบบติดแน่น และรีเทนเนอร์แบบโลหะ เพื่อใช้คงสภาพฟัน ซึ่งควรใส่ตามที่ทันตแพทย์แนะนำ เพื่อไม่ให้ฟันเคลื่อนกลับไปตำแหน่งเดิม
- หากต้องมีการผ่าตัดขากรรไกรเพิ่มเติม แพทย์ก็จะให้คำแนะนำต่อไป
ระยะเวลาและราคา
ในส่วนของระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดฟันรอบสองนั้น จะน้อยกว่าครั้งแรกประมาณนึง เพราะการรักาษาส่วนใหญ่ได้ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้นระยะเวลาจะอยู่ที่คร่าวๆ ประมาณ 6-18 เดือน ในส่วนราคา จะมีข้อมูลคร่าวๆ ดังนี้:
- จัดฟันด้วยแบร็คเก็ต: เช่น จัดฟันโลหะ จัดฟันเซรามิก เป็นต้น จะมีค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ประมาณ 39,000-65,000 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละเคส
- จัดฟันใสด้วย Invisalign: จะมีค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ประมาณ 59,000-180,000 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละเคส